เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 สำนักงาน ก.พ.ร. จัดพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2563 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 อิมแพคเมืองทองธานี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานในพิธีพร้อมมอบนโยบายและทิศทางการพัฒนาระบบราชการ และแสดงความยินดีกับหน่วยงานที่ได้รับรางวัล และเลขาธิการ ก.พ.ร. (นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ) กล่าวรายงาน พร้อมกันนี้ได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ Better Services for Better Life ในรูปแบบ Virtual Exhibition ผ่านทางเว็ปไซต์สำนักงาน ก.พ.ร. (
www.opdc.go.th)
เลขาธิการ ก.พ.ร. (นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ) ได้กล่าวว่า สำนักงาน ก.พ.ร. จัดพิธีมอบรางวัลฯ ขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2546 เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้แก่หน่วยงานที่ได้รางวัล เพื่อช่วยส่งเสริม และกระตุ้นให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้พัฒนาคุณภาพการให้บริการ และระบบการบริหารงานของหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งผลงานที่ได้รับรางวัลจะเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่หน่วยงานอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบงานของหน่วยงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป สำหรับพิธีการมอบรางวัลเลิศรัฐในปีนี้ มีหน่วยงานที่สมัครรับรางวัลทั้งสิ้น 1,416 ผลงาน และผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้น 198 รางวัล ประกอบด้วย
1. รางวัลเลิศรัฐ โดยเป็นรางวัลเลิศรัฐยอดเยี่ยม ที่มอบให้กับหน่วยงานที่ได้รับรางวัลระดับดีเด่น ทั้ง 3 ประเภทรางวัลในปีเดียวกัน จำนวน 1 รางวัล โดยมอบให้แก่กรมสรรพากร รางวัลเลิศรัฐ สาขาบริการภาครัฐ จำนวน 1 รางวัล โดยมอบให้แก่โรงพยาบาลสิรินธร จ.ขอนแก่น จากผลงานThai Reach ไทยฤทธิ์ พิชิตความพิการ รางวัลเลิศรัฐ สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม จำนวน 1 รางวัล โดยมอบให้แก่กองบัญชาการกองทัพไทย จากผลงานโหล่งขอดโมเดล : รูปแบบการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน
2. รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น จำนวน 23 รางวัล และระดับดี จำนวน 59 รางวัล
3. รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น จำนวน 16 รางวัล และระดับดี จำนวน 55 รางวัล
4. รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ โดยเป็นรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ รายหมวด จำนวน 30 รางวัล และรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 จำนวน 12 รางวัล
ทางด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า การมอบรางวัลเลิศรัฐนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล ท้งนี้ได้มีการนำหลักธรรมาภิบาล และนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล มาเป็นเกณฑ์ในการประเมินเพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานของรัฐเกิดการพัฒนา นอกจากนี้ได้กล่าวถึง การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เข้ากับยุค New Normal การอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชน โดยการทบทวนกฎหมายและกฎระเบียบให้เอื้อต่อการบริหารในรูปแบบ e-Service หรือเรียกว่าเป็นการปลดล็อค เช่น ไม่ต้องยื่นคำขอด้วยตนเองที่หน่วยงาน ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้ขอรับบริการได้รับความสะดวก โดยสามารถยื่นขอรับบริการ ณ ที่ใดก็ได้ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ การชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบ e-Payment ในหลากหลายช่องทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อราชการ และกล่าวถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยการสร้างมีส่วนร่วมของประชาชน และเครือข่ายต่าง ๆ ให้เข้ามามีบทบาทในการทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชนได้อย่างตรงจุด มีผลการดำเนินงานเป็นที่ประจักษ์ ดังจะเห็นได้จากช่วงสถานการณ์โควิด ที่ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงเครือข่ายต่าง ๆ ได้พร้อมใจกันร่วมกันป้องกันและแก้ไขสถานการณ์จนสามารถกลับเข้าสู่ภาวะที่ควบคุมได้ รวมทั้ง การปรับตัวของภาครัฐ เพื่อให้เข้ากับยุค New Normal และการปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยการนำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ดิจิทัลมาสนับสนุนการปฏิบัติงานที่เหมาะสมทั้งในเรื่องของการยกระดับบริการภาครัฐให้ตรงกับความต้องการของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การบริหารและติดตามการใช้งบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะด้านดิจิทัลที่เหมาะสมที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญในการปรับเปลี่ยนภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัล
