เมื่อวันอังคารที่ 7 กันยายน 2564 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นของส่วนราชการที่มีต่อ “การวิเคราะห์สภาวการณ์การบริหารงานภาครัฐแบบองค์รวมและการมองภาครัฐแห่งอนาคต” โดยมี ดร.นิชา สาทรกิจ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ กล่าวถึงภาพรวมและวัตถุประสงค์ของการรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานรัฐต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนรัฐบาลเปิด เพื่อนำข้อเสนอแนะที่ได้รับจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและกำหนดนโยบาย ไปทบทวนและพัฒนาต่อยอดเป็น “หลักการชี้แนะไปสู่การเป็นรัฐบาลเปิดของประเทศไทย” (Guiding Principles on Thailand’s Open Government Development) ให้เหมาะสมกับบริบทของระบบราชการไทย
การนำเสนอโครงการวิเคราะห์สภาวการณ์การบริหารงานภาครัฐแบบองค์รวมและการมองภาครัฐแห่งอนาคต โดย
1. รศ.พ.ต.ต.ดร. ดนุวศิน เจริญ
ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมทางธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
2. ผศ.ดร.ธัญรัตน์ อมรเพชรกุล
รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
3. ผศ.ดร.ปนันดา จันทร์สุกรี
อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
สาระสำคัญประกอบด้วย
ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นที่จะนำไปสู่การกำหนดกรอบนโยบายการพัฒนารัฐบาลเปิดและทบทวนเพื่อปรับเปลี่ยนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจของประชาชนต่อภาครัฐ
การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐควรเป็นไปตามความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้ (User-Centric) และอยู่ในรูปแบบที่สามารถสืบค้นและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย
การพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้มีทักษะที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนรัฐบาลเปิดต้องอาศัยความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคการศึกษา
การเสวนาหัวข้อ “สานพลังในการขับเคลื่อนรัฐบาลเปิดในประเทศไทย” โดย
1. ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ
ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
2. คุณจินตพันธุ์ ทังสุบุตร
ผู้อำนวยการกองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สาระสำคัญประกอบด้วย
DGA ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการสร้างความรู้ความเข้าใจของผู้บริหารและบุคลากรภาครัฐเกี่ยวกับความสำคัญและประโยชน์ของการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทั้งการจัดทำมาตรฐานการจัดเก็บข้อมูลภายในหน่วยงาน เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนและใช้ข้อมูลร่วมกันกับหน่วยงานอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
DGA มีการสร้างแพลตฟอร์มกลางในการเข้าถึงข้อมูลเปิด (https://data.go.th) รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ และพัฒนากรอบธรรมภิบาลข้อมูลภาครัฐ
การเป็นรัฐบาลเปิดต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1) การวิเคราะห์ผลกระทบ 2) การประเมินผลสัมฤทธิ์ 3) การเปิดเผยข้อมูล ซึ่งทาง OCS ใช้แพลตฟอร์มกลางสำหรับรวบรวมข้อมูลทางด้านกฎหมายของประเทศ รวมถึงเป็นช่องทางสำหรับรับฟังความคิดเห็นและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินการจัดทำกฎหมายหรือร่างกฎหมายรวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย (https://law.go.th)
การพัฒนา One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกต่อประชาชนยังคงมีอุปสรรค เนื่องจากบางหน่วยงานยังยึดติดกับการใช้เอกสารแบบเดิมตามระเบียบของหน่วยงาน ทาง OCS จึงจำเป็นต้องพัฒนาระเบียบต่าง ๆ ให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับยุคดิจิทัลมากขึ้น
กิจกรรมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับ “บทบาทและการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการขับเคลื่อนรัฐบาลเปิดในประเทศไทย” โดยมีการแบ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่ม 1: การพัฒนาสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศการทำงาน
สาระสำคัญ : อุปสรรคที่สำคัญของระบบราชการไทย คือ การขาดการบูรณาการและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เนื่องจากแต่ละหน่วยงานยังยึดติดกับระบบการทำงานแบบเดิมที่อยู่แต่ในกรอบของตนเอง ดังนั้นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการปฏิรูประบบราชการไทยไปสู่การเป็นรัฐบาลเปิด
กลุ่ม 2: การจัดสรรงบประมาณและการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ
สาระสำคัญ : การจัดสรรงบประมาณควรมีความโปร่งใส ไม่ซับซ้อน ตรวจสอบย้อนหลังได้ และมีนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริต นอกจากนั้นการพัฒนาบุคลากรสำหรับรัฐบาลเปิดสามารถทำได้โดยการจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และเอื้อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์จากบุคลากรที่มีศักยภาพสูง
กลุ่ม 3: ข้อมูลเปิดภาครัฐและการพัฒนาบริการสาธารณะ
สาระสำคัญ : การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐควรมีการกำหนดมาตรฐานกลางในการจัดเก็บข้อมูลให้ชัดเจน โดยที่แต่ละหน่วยงานควรมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน
กิจกรรมนี้ทำให้คณะที่ปรึกษาได้รับฟังข้อมูลและความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการขับเคลื่อนรัฐบาลเปิดของประเทศไทย โดยจะนำข้อมูลและความคิดเห็นทั้งหมดไปสังเคราะห์เพื่อปรับปรุงหลักการชี้แนะไปสู่การเป็นรัฐบาลเปิดของประเทศไทยต่อไป