1. เลขาธิการ ก.พ.ร. (นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ) เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมฯ โดยได้ให้ทิศทางของการบริหารงานภาครัฐในยุคหลัง COVID-19 ซึ่งได้ถอดบทเรียนมาจากการรับมือวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านมาของประเทศไทย 3 ประเด็น ดังนี้
1.1 ผู้นำที่มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ (Resilient leaders) ผู้นำทำหน้าที่เสมือนผู้ประสานวงดนตรี (leader to orchestrate) ที่มีความเข้าอกเข้าใจในทุกภาคส่วนและสามารถผสานประโยชน์เพื่อการก้าวผ่านวิกฤตร่วมกันได้
1.2 ความเชื่อมั่นในรัฐบาล (Public Trust) จะช่วยคงไว้ซึ่งเสถียรภาพของรัฐบาลท่ามกลางวิกฤต ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากประเด็นถัดไป คือ
1.3 การเป็นรัฐบาลเปิด (Open Government) ที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงด้วยข้อมูลผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาร่วมกัน
2. “Embracing Digital Government During the Outbreak of COVID-19”
2.1 รัฐบาลทั่วโลกมุ่งสู่การเป็น Digital Government เพื่อก้าวข้ามวิกฤตโรคระบาด COVID-19 จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนำมาสู่การบริการภาครัฐแบบออนไลน์ (e-Service) อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เกิดการบริการภาครัฐที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น
2.2 ความท้าทายของภาครัฐในการมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ประกอบด้วย
> ไม่เร็ว (Time-Consuming Process) กระบวนการที่ใช้เวลานาน
> ไม่ทัน (Not updated) ไม่มีการปรับเทคโนโลยีให้เหมาะสม
> ไม่เชื่อมโยง (Unsynchronized) การไม่เชื่อมโยงข้อมูล
2.3 การพัฒนา e-Services ต้องปรับโครงสร้างราชการ พัฒนาแพลตฟอร์มกลางที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ครอบคลุมถึงส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น รวมถึงปลดล็อคข้อจำกัดด้านกฎหมาย และสื่อสารให้เข้าถึงผู้รับบริการ
3. “Transforming Government Post COVID-19” : Work from Home (WFH)
3.1 WFH ทำให้ภาครัฐพบทั้งความท้าทาย ในประเด็นโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัล และกฎระเบียบข้อบังคับที่ไม่ทันสมัยและไม่ยืดหยุ่น
3.2 วัฒนธรรมการทำงานใหม่ที่ยืดหยุ่นส่งผลต่อการประเมินผลการปฏิบัติงานแบบเดิม ซึ่งต้องอาศัยการปรับตัวและการสื่อสารภายในองค์กร รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมใหม่เพื่อความเชื่อใจในการทำงาน
4. “Public Sector Reform: Past Lessons, Future Challenges: Policy Review & Cases”
4.1 การปฏิรูปกฎหมายในอาเซียนควรออกแบบตามสถานการณ์การใช้งาน ซึ่งมีแนวทางในการปฏิรูป เช่น การทำกิโยติน การใช้วิธี one in one out การลดกระบวนการ (Red Tape reduction) การทำ RIA กฎหมาย (เป็นการประเมินกฎหมายทั้งกระบวนงาน) และการทำ collaborative regulation
4.2 การปฏิรูประบบราชการท้องถิ่นของอินโดนีเซียให้ความสำคัญต่อการกระจายอำนาจและการปกครองในระดับภูมิภาค ทำให้เพิ่มพลวัตของเศรษฐกิจในภูมิภาคและตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
4.3 ประเทศมาเลเซียใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการประเมินนโยบายบุคลากรภาครัฐ การแลกเปลี่ยนข้อมูลบุคลากรระหว่างหน่วยงาน และการวัดประสิทธิผลของข้าราชการ โดยพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและเป็นระบบเดียวกัน (single window) เพื่อมั่นใจว่าบุคลากรจะมีขีดสมรรถนะและศักยภาพที่เพียงพอจะทำให้รัฐบาลบรรลุวิสัยทัศน์ได้
4.4 ความสำเร็จของระบบราชการของเวียดนามในปัจจุบัน ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก คือ
(1) การเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการ ให้มีความทันสมัยและช่วยให้การบริหารงานดีขึ้น สอดคล้องกันระหว่างราชการและประชาชน
(2) การเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน กลไกองค์กร โดยสร้างความเข้มแข็งทั้งโครงสร้าง หน้าที่ และความรับผิดชอบ รวมถึงเน้นการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น
(3) การพัฒนาระบบราชการด้วยการปรับระบบบุคลากร ได้แก่ การสรรหาข้าราชการ การเลื่อนตำแหน่งข้าราชการ การแต่งตั้งผู้บริหาร ค่าตอบแทน รวมถึงการอบรมและพัฒนาข้าราชการ
4.5 รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนให้ประชาชนให้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านประเทศ (National Transformation) ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเปิดพื้นที่แสดงความเห็น
4.6 การปฏิรูปการเก็บภาษีของรัฐบาลพม่ามีการกระจายอำนาจในการเก็บภาษีไปยังท้องถิ่นมากขึ้น และให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี Digital Literacy ของบุคลากรภาครัฐและการส่งเสริมความโปร่งใสและภาระความรับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ
4.7 ในส่วนของประเทศไทย สำนักงาน ก.พ.ร. พัฒนาระบบราชการและขับเคลื่อน Digital Transformation ในหน่วยงานภาครัฐให้เกิดขึ้นจริงและเป็นรูปธรรม อาทิ พ.ร.บ. อํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและธุรกิจในการขอใบอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐ หรือติดต่อกับส่วนราชการ ระบบ Biz Portal หรือระบบกลางในการขอเริ่มต้นการประกอบธุรกิจในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังผลักดันนโยบายสำคัญต่างๆ ในการยกระดับงานบริการภาครัฐ อาทิ แนวคิด paperless solution ในหน่วยงานภาครัฐ การขอเอกสารสองภาษาจากหน่วยงานภาครัฐ ระบบ Track and Trace ในการรับบริการภาครัฐ ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ
5. บทสรุปและความร่วมมือในอนาคต
5.1 การเปลี่ยนแปลงการทำงานและการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ โดยยึดแนวทาง New Public Management จะทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของภาครัฐภายหลังสถานการณ์ COVID-19 ได้ดียิ่งขึ้น
5.2 สภาพแวดล้อมปัจจุบันบังคับและส่งเสริมให้ภาครัฐเร่งปรับตัวไปสู่รูปแบบดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่าปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นอุปสรรคสำคัญของหลายประเทศในการเปลี่ยนแปลงไปสู่รัฐบาลดิจิทัล นอกจากนี้ การลดข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการปรับแก้กฎหมายจะช่วยให้การทำงานที่บ้าน (WFH) เป็นไปอย่างสะดวกและราบรื่นยิ่งขึ้น
5.3 ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนล้วนมีความสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและก้าวข้ามอุปสรรคท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต
5.4 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการปรับปรุงและพัฒนาตนเองอยู่ตลอด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะเริ่มจากสิ่งเล็กๆ แต่เมื่อเชื่อมต่อสิ่งเล็กๆ เหล่านั้นด้วยกันแล้ว ในระยะเวลาหลายสิบปี ก็จะสามารถมองเห็นได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
Download เอกสารได้ที่นี่ https://drive.google.com/drive/folders/1tlxeoT7CafK3HqqOIy55H7ACKK7F_Y8Z?usp=sharing