เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2562 สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “แนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศของไทย (Thailand National Digital Trade Platform)” ณ ห้อง Auditorium C asean Center โดยมีนางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ ก.พ.ร. ให้เกียรติกล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการหารือ แลกเปลี่ยนมุมมอง สถานะการดำเนินงาน และรวบรวมประเด็นความเห็นจัดทำเป็นข้อเสนอการพัฒนา โดยมีหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องในด้านการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน ประมาณ 150 คน เข้าร่วมการประชุมอันประกอบไปด้วย หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กรมศุลกากร กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการท่าเรือแห่งประเทศไทย รวมถึงหน่วยงานเอกชน ประกอบด้วย ภาคส่งออก ได้แก่ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภาคธนาคาร ได้แก่สมาคมธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ
ภาคโลจิสติกส์และการประกันภัย ได้แก่ สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) สมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ (BSAA) สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทยสมาคมตัวแทนขนส่งสินค้าทางอากาศไทย (TAFA) สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย คณะกรรมการประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ และสมาคมประกันวินาศภัยไทย
ทั้งนี้ ได้มีการหารือเพื่อสรุปความเห็นจากแต่ละภาคส่วน และจัดทำเป็นข้อเสนอเพื่อผลักดัน “แนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างประเทศของไทย” ให้มีความชัดเจนและเกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงความเป็นไปได้ที่ภาคเอกชนจะร่วมมือกันในการขับเคลื่อน Regional Digital Trade Platform เพื่อเสริมกับการดำเนินการขับเคลื่อน National Single Window / ASEAN Single Window (NSW/ASW) ของภาครัฐ ในปี 2562 นี้ที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน
สำนักงาน ก.พ.ร. จะเป็นผู้ประสานและผลักดันการดำเนินงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา National Digital Trade Platform ซึ่งเป็น Single Integrated Platform สำหรับการค้าระหว่างประเทศที่สามารถเชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ภาคการเงินการธนาคาร ภาคโลจิสติกส์และประกันภัย แบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ และเชื่อมต่อกับระบบ National Single Window และ ASEAN Single Window รวมทั้งระบบการค้าระหว่างประเทศกับประเทศต่าง ๆ ได้ต่อไป สำหรับภาครัฐต้องมีการพัฒนาเพื่อสนับสนุนระบบราชการให้เข้าสู่ระบบราชการ และประเทศไทย 4.0 โดยคาดหวังว่าหากสามารถพัฒนา National Digital Trade Platform ได้สำเร็จ จะส่งผลต่ออันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทย (Doing Business) อยู่ในกลุ่ม 20 ประเทศแรกของโลก เนื่องจากสามารถส่งต่อต่อการปฏิรูปใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการค้าระหว่างประเทศ ด้านการได้รับสินเชื่อ และด้านการชำระภาษี
กลุ่มงานเลขานุการ ก.พ.ร. และการประชาสัมพันธ์ / จัดทำ
