The 10th ASEAN International Conference หัวข้อ “Reshaping Trust in Government: Towards Open, Innovative and Digital Governments in Southeast Asia” วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 (กิจกรรมวันที่ 4)
เน้นเรื่องการยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อภาครัฐ โดยใช้ระดับความเชื่อมั่นและการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนเป็นตัวสะท้อนความเข้มแข็งของภาครัฐ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่มีความท้าทายต่อภาครัฐเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงสภาวะวิกฤตที่ประชาชนจะรู้สึกไม่เชื่อมั่นในความสามารถของภาครัฐในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นผู้เข้าร่วมประชุมฯ ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน +9 จำนวน 9 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ บรูไน เกาหลีใต้ และไทย ผู้แทนจากทวีปเอเชีย จำนวน 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ไต้หวัน และอิสราเอล ผู้แทนจากทวีปยุโรป จำนวน 3 ประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ โปแลนด์ และสโลวีเนีย รวมทั้งผู้แทนจาก OECD โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้น จำนวน 80 คน
สรุปประเด็นสำคัญของงานในวันที่สี่ ดังนี้
– ระดับความเชื่อมั่นของประชาชนจะเป็นตัวสะท้อนถึงผลการบริหารงานของภาครัฐ ซึ่งสามารถวัดได้จากมุมมองที่ประชาชนมีต่อความสามารถในการบริหารงาน และความเชื่อมั่นในเจตนาของรัฐบาลที่มีต่อ
การบริหารประเทศ
– การสื่อสารภาครัฐเป็นมากกว่าการประชาสัมพันธ์ โดยเป็นการสื่อสารสองทางกับประชาชนให้รับทราบและเข้าถึงเหตุผลการตัดสินใจของภาครัฐ เพื่อทำให้ประชาชนเห็นว่าภาครัฐมีความโปร่งใสและเกิดความเชื่อมั่นในภาครัฐเพิ่มขึ้น
สรุปการอภิปรายของผู้เข้าร่วมเสวนา
– OECD ได้นำเสนอกรอบ (Framework) ที่จะวัด วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสะท้อนความเชื่อมั่นของภาครัฐในแต่ละประเทศ ซึ่งทำให้เห็นตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่น โดยมีการสำรวจผ่านแบบสอบถามใน 20 ประเทศ เช่น กลุ่มประเทศ Southeast Asia กลุ่มประเทศ OECD และผลจากการสำรวจทำให้เห็นมุมมองของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลที่แตกต่างกันใน 4 ด้าน คือ การตอบสนองได้ดี (Responsiveness) การพึ่งพาได้ (Reliability) ความซื่อสัตย์ (Integrity) และความเป็นธรรม (Fairness)
– ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อหน่วยงานรัฐในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันและมีความสำคัญมาก หากความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลสูง ประชาชนจะมองว่าวัคซีนมีความปลอดภัย ในทางกลับกัน หากความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลต่ำ ประชาชนจะมองว่าวัคซีนไม่ปลอดภัย
– ประเทศมาเลเซียมีการจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจ (PEMUDAH)
เป็นหน่วยงานที่สามารถสร้างผลงานได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การแก้ไขกฎหมายเพื่อยกระดับงานบริการ และ
การดำเนินธุรกิจ อาทิ การเริ่มธุรกิจสามารถดำเนินการได้ไม่เกิน 10 เดือน ทั้งนี้ ได้มีการปรับวิธีการทำงานโดยเสริมสร้างความร่วมมือ เปิดกว้าง โปร่งใส และใช้นวัตกรรม ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มองภาพการทำงานของภาครัฐที่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้
– ช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อภาครัฐมีความผันผวน โดยในช่วงแรกของสถานการณ์ความเชื่อมั่นต่อภาครัฐสูงในทุกประเทศ แต่เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งมีแนวโน้มลดลงจากการสำรวจใน 3 ประเทศ ได้แก่ เกาหลี (ในปี 2561) ฟินแลนด์ (ในปี 2564) และนอร์เวย์ (ในปี 2565) ผลการสำรวจพบว่า ประเทศเกาหลีประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลต่ำ ประเทศฟินแลนด์ประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลสูง แต่ประชาชนยังไม่เข้ามามีส่วนร่วมเท่าที่ควร ในขณะที่ประเทศนอร์เวย์ประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลสูง ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ภาครัฐต้องปรับตัวต่อความท้าท้ายในอนาคต ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะยกระดับความเชื่อมั่นได้คือ การยกระดับการให้บริการประชาชน และการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
– การสื่อสารสาธารณะให้มีประสิทธิภาพต้องเป็นการสื่อสารสองทาง โดยประชาชนสามารถรับทราบข้อมูลและมีส่วนร่วมให้ข้อเสนอแนะต่อนโยบายภาครัฐได้ นอกจากนี้การแยกเนื้อหาทางการเมืองออกจากสิ่งที่ภาครัฐต้องการสื่อสารจะทำให้สารมีความเป็นกลาง ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นและไว้ใจในภาครัฐ
– ประเทศสิงคโปร์และประเทศอินโดนีเซีย เห็นว่าภาครัฐต้องรับทราบความต้องการของประชาชน และใช้การสื่อสารสาธารณะเพื่อตอบสนองข้อมูลอย่างรวดเร็วและชัดเจน ผ่านช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนแต่ละกลุ่มให้ความสนใจ โดยเมื่อประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจในสถานการณ์นั้น ๆ แล้ว จะช่วยให้ประชาชนไม่หลงเชื่อข้อมูลเท็จที่อาจจะเกิดขึ้นได้
– ประเทศไทยให้เครือข่ายที่มีความใกล้ชิดและได้รับความเชื่อถือจากประชาชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ช่วยกระจายข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชน โดยหากเครือข่ายเจอข้อมูลใดที่น่าสงสัยจะส่งข้อมูลต่อไปให้ทีมเจ้าหน้าที่ภาครัฐซึ่งจะช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและแจ้งผลกลับไปยังเครือข่ายเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนต่อไป
– สหราชอาณาจักรประสบปัญหาความเชื่อมั่นในภาครัฐที่ลดลง โดยเฉพาะความไม่มั่นใจภาครัฐและความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 จึงสื่อสารสาธารณะโดยการใช้ข้อเท็จจริงและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น WHO ให้ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ยังใช้นวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์พัฒนาเกม (www.goviralgame.com) ให้ประชาชนเล่นเกมเพื่อทดสอบว่าข่าวสารที่เคยได้รับรู้มามีความจริง-เท็จเพียงใด เพื่อให้สร้างความตระหนักและภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนในการลดความเสี่ยงการเชื่อข่าวเท็จในอนาคต