เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากหน่วยงานภาครัฐในการแปลงข้อเสนอแนะขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ด้านการเสริมสร้างความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐของประเทศไทยไปสู่การปฏิบัติ โดยมีผู้แทนหน่วยงานรัฐ ซึ่งรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุม จำนวน 370 คน
โดยกิจกรรมประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
1. การเสวนาในหัวข้อ “การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการสอดส่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ: มุมมองจากภูมิภาค ท้องถิ่น และสื่อสาธารณะ”
โดยมีวิทยากรผู้ร่วมเสวนา ได้แก่
1.1 นายพีระ ทองโพธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
1.2 นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลาและนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย
1.3 นายสมเกียรติ จันทรสีมา ผอ.สำนักเครือข่ายสื่อสาธารณะ สถานีโทรทัศน์ Thai PBS
2. การเสวนาในหัวข้อในหัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐ: ประสบการณ์ในต่างประเทศ”
โดยมีวิทยากรผู้ร่วมเสวนา ได้แก่
2.1 Mr. Jeroen Michels Policy Analyst, Division for Public Sector Integrity, OECD,
2.2 ดร. โชติมา สงวนพันธุ์ เวชพร สำนักงาน ก.พ.ร.
2.3 รศ. ดร. ธัชเฉลิม สุทธิพงษ์ประชา วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. การให้ประชาชนมีบทบาทสอดส่องการทำงานของภาครัฐ จำเป็นต้องสนับสนุนให้ประชาชนมีพื้นที่ในการพูดและการแสดงออก ให้รู้สึกว่าประชาชนเป็น “เจ้าของอำนาจที่แท้จริง” ซึ่งจะทำให้เกิดกระบวนการตรวจสอบที่ยั่งยืน โดยสามารถผลักดันผ่านมาตรการต่าง ๆ อาทิ
– สร้างช่องทางการสื่อสารใหม่ ๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ โดยมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และนำเสนอข้อมูลข่าวสารภาครัฐที่ฉับไวและเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา
– เน้นการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ภาคประชาชน องค์การระหว่างประเทศเพื่อสร้างกระบวนการธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2. สื่อมวลชนจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาท โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตเนื้อหาของข่าวสารมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สถานีโทรทัศน์ Thai PBS ได้สร้างพื้นที่การสื่อสารของภาคพลเมืองผ่านแอพพลิเคชัน C-Site ซึ่งรองรับการสื่อสารแบบรวมหมู่ (Crowdsource) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงข้อมูลจากเรื่องราวร้องทุกข์กับสื่อสาธารณะในส่วนกลาง เพื่อสื่อสารถึงสาธารณชนในวงกว้าง
3. ผู้แทน OECD ได้เน้นย้ำมาตรการสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐของประเทศไทย อาทิ
– การสร้างการรับรู้เรื่องประมวลจริยธรรมของบุคลากรภาครัฐ โดยเฉพาะตำแหน่งงานที่มีความเสี่ยงสูงในการทุจริต เช่น งานด้านการจัดเก็บภาษี งานด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
– ระบบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของบุคลากรภาครัฐควรจัดทำในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถออกแบบให้เฝ้าระวังความร่ำรวยผิดปกติได้จริงในทุกระดับ ยกตัวอย่างจากสาธารณรัฐเกาหลีที่พัฒนาระบบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในรูปแบบดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับระบบภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและระบบทะเบียนที่ดิน ทำให้สามารถทราบได้ว่า บุคลากรภาครัฐหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่และมีที่ดินในครอบครองมากน้อยเพียงใด
– การคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต ควรมีกฎหมายเฉพาะในการคุ้มครองปกป้องผู้แจ้งเหมาะแสการทุจริต โดยกฎหมายควรประกอบด้วย นิยามผู้ที่เข้าข่ายผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตและเรื่องร้องเรียนที่เข้าข่ายการแจ้งเบาะแสการทุจริตเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งข้าราชการ รวมทั้งควรมีบทบัญญัติวิธีการแจ้งเบาะแสการทุจริตไว้ให้ชัดเจน
4. ก้าวต่อไปของสำนักงาน ก.พ.ร. ในการขับเคลื่อนมาตรการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐ ได้แก่ การพัฒนารายการตรวจประเมินความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐในลักษณะ Check List ที่สอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ OECD เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนความซื่อตรงในภาครัฐเพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีสากล และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน