เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดการประชุมสัมมนา “ภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” โดย รองเลขาธิการ ก.พ.ร. (นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข) กล่าวเปิดงานสัมมนา โดยได้กล่าวถึง ภาครัฐระบบเปิดว่า ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่
1) ความโปร่งใส (Transparency) ในเรื่องการเปิดเผยข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลของภาครัฐ การมีอิสระในการเข้าถึงข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูลของภาครัฐ
2) การมีส่วนร่วม (Participation) โดยการมีส่วนร่วมต้องเป็นการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (Meaningful Participation คือ เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาจนทำให้มีความผูกพันต่อประเด็นสาธารณะ ร่วมกันพัฒนาและเพิ่มคุณค่าให้กับการมีส่วนร่วม ซึ่งการสร้างภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายเป็นกระบวนการสำคัญที่จะนำไปสู่ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความเท่าเทียมกันในสังคม อันจะนำไปสู่ความเชื่อมั่น ศรัทธาและความไว้วางใจที่จะพัฒนาไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
ในช่วงแรก เป็นการบรรยาย 2 เรื่อง ได้แก่
1. การบรรยายเรื่อง “ระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (Open Government and Meaningful Participation Ecosystem)” โดย นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธาน อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการส่งเสริมการบริหารภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วม โดยสาระสำคัญได้กล่าวถึงความหมายและองค์ประกอบของ ระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ซึ่งประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ 2) การมีนโยบายและกฎหมายที่เอื้อต่อการเปิดระบบราชการ 3) การสร้างภาคีเครือข่าย 4) การสร้างแรงจูงใจ 5)การสนับสนุนองค์ความรู้และทรัพยากร 6) การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง 7) การติดตามนโยบายของภาครัฐ และ 8) การสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยมีการยกตัวอย่างการพัฒนาองค์ประกอบแต่ละด้านให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มในการเปิดเผยข้อมูล PM 2.5 การสร้างแรงจูงใจ โดยใช้แนวคิด “Nudge” เป็นต้น
2. การบรรยายเรื่อง “การสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือ สู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน” โดย นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้อำนวยการโรงเรียนมีชัยพัฒนา โดยสาระสำคัญได้กล่าวถึงการใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชน เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
ในช่วงที่ 2 เป็นการเสวนา เรื่อง “การสร้างระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (Open Government and Meaningful Participation Ecosystem : OG & MP) ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)” ประกอบด้วย วิทยากร จำนวน 5 ท่าน ได้แก่
1. นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง
2 นายตติยะ ชื่นตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
3. นายไพฑูรย์ ประภาถะโร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานอ้อย (ภาคกลาง) (บริษัท มิตรผล จำกัด)
4. นางสาวศิริพร ปัญญาเสน ผู้แทนภาคประชาสังคม (เครือข่ายสมัชชาสุขภาพ)
5.นางสาวอภิญญา สิระนาท หัวหน้าโครงการ UNDP Accelerator Labs สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP ประเทศไทย)
โดยสรุปสาระสำคัญสรุป ได้ดังนี้
การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) สิ่งสำคัญ คือ การมีข้อมูล เพื่อนำมาเตรียมความพร้อม และการตั้งยุทธศาสตร์และตัวชี้วัดที่ถูกต้อง เพื่อการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและตอบโจทย์ของปัญหา เช่น การให้ความสำคัญกับประโยชน์และปัญหาของประชาชน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เช่น การกำหนดตัวชี้วัดจำนวนผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ ซึ่งทำให้ประชาชนหันมาตระหนักและใส่ใจกับสุขภาพ พร้อมทั้งร่วมกันแก้ไขปัญหามากขึ้น
การขับเคลื่อนเทคโนโลยี เริ่มต้นจากการเปิดเผยข้อมูล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ซึ่งข้อมูลที่เปิดเผยต้องมีความถูกต้องและเพียงพอต่อการใช้ในการตัดสินใจ โดยภาครัฐควรนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์และสื่อสารให้ประชาชนสามารถเข้าใจง่าย เพื่อให้การเปิดเผยข้อมูลถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ภาคเอกชน สิ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหา PM 2.5 คือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร เช่น การนำข้อมูลการลงทะเบียนของแปลงอ้อยมาวางแผนในการบริหารจัดการเพื่อลดการเผา ซึ่งจะก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ นโยบายของภาครัฐก็ต้องเอื้อและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร ซึ่งก็จะช่วยในการขยายผลของมิติการป้องกันให้เพิ่มมากขึ้น
ภาคประชาชน ในฐานะสมัชชาสุขภาพ ได้ดำเนินการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันตามยุทธศาสตร์ของจังหวัด โดยเข้าลดช่องว่างระหว่างรัฐและชุมชนในการสร้างกลไกและกระบวนการทำงานที่มีเป้าหมายร่วมกันและเกื้อหนุนกัน สร้างให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งและสร้างความรู้สึกของการเป็นเจ้าของร่วมกัน
การแก้ไขปัญหา PM 2.5 ควรบูรณาการการมีส่วนร่วมในแก้ปัญหาจากมุมมองหลายมิติ เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านชีวิตความเป็นอยู่ ด้านสังคม ซึ่งควรทำความเข้าใจคนในพื้นที่ เพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไขและสร้างแรงจูงใจให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยี และข้อมูลมาเชื่อมโยงกันจะทำให้เห็นภาพที่กว้างมากขึ้น และเป็นหัวใจหลักในการประกอบการตัดสินใจและสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดเอกสารการสัมมนาได้ที่ https://drive.google.com/drive/folders/1LSBw0AZaeNYaJiKMUHlM5NIEv8auw9nv?usp=sharing