เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากหน่วยงานภาครัฐในการแปลงข้อเสนอแนะขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ด้านการเสริมสร้างความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐของประเทศไทยไปสู่การปฏิบัติ โดยมีผู้แทนหน่วยงานรัฐ ซึ่งรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุม จำนวนกว่า 400 คน
สรุปประเด็นสำคัญ
1. ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นางสาววิริยา เนตรน้อย) เป็นประธานเปิดและกล่าวปาฐกถาเรื่อง “การส่งเสริมความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐ” สรุปได้ดังนี้
1.1 ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐ จึงได้มีความร่วมมือกับ OECD มาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งนับว่าเป็นประเทศแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ได้ประเมินตนเองตามกรอบของ OECD ครบทุกมิติ ได้แก่
(1) การบูรณาการหน่วยงานขับเคลื่อนการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐ
(2) การบ่มเพาะวัฒนธรรมความซื่อตรงของเจ้าหน้าที่รัฐ
(3) การควบคุมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
1.2 ความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐมีนัยยะเชิงบวกที่มีขอบเขตกว้างกว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเชิงระบบและศักยภาพของบุคลากรภาครัฐ ในการนำแนวคิด ทฤษฎี และนโยบายเกี่ยวกับการเสริมสร้างความซื่อตรงไปใช้ในการครองตนและแก้ไขปัญหาทางด้านจริยธรรมในสถานการณ์การทำงานจริง เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือ
1.3 การใช้ประสบการณ์ของนานาประเทศมาเป็นแบบอย่างให้กับภาครัฐของประเทศไทย เช่น
– การศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จของประเทศสิงคโปร์ที่มีคะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index: CPI) เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน เพื่อประยุกต์ใช้ในบริบทของประเทศไทย
– การที่ฮ่องกงนำคดีทุจริตที่ศาลพิพากษาสิ้นสุดแล้ว จัดทำเป็นละครเพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
2. รศ.ดร. อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี ที่ปรึกษาโครงการฯ ได้นำข้อเสนอแนะของ OECD มาวิเคราะห์และสังเคราะห์จัดทำเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย มีความเป็นไปได้ และเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยมีรูปแบบการส่งเสริมความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐและแนวทางการประเมินความซื่อตรงภาครัฐ ใน 3 ประเด็น ดังนี้
2.1 การพัฒนาระบบประกันคุณภาพการบริหารความเสี่ยงการทุจริตของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นอิสระ สามารถกำกับ ติดตาม และประเมินคุณภาพได้อย่างเป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ
2.2 การยกระดับแนวทางการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานทางจริยธรรมภาครัฐและพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรภาครัฐในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนรวมกับประโยชน์ส่วนบุคคล
2.3 การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสอดส่องพฤติกรรมการทำงานของบุคลากรภาครัฐ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตและเพื่อกลั่นกรองตรวจสอบความถูกต้องของเบาะแสการทุจริต ไม่ให้เกิดการกลั่นแกล้งบุคลากรภาครัฐ
3. การจัดกิจกรรมการเสวนาระดมความคิดเห็น โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย สรุปได้ดังนี้
3.1 การประเมินและการบริหารความเสี่ยงการทุจริตในภาครัฐทั้งระบบ
– หลายหน่วยงานได้มีการนำข้อมูลที่ได้จัดเก็บมาใช้ประโยชน์ต่อยอด เช่น ข้อมูลการดำเนินงานตามภารกิจ ข้อร้องเรียนต่าง ๆ หรือผลการประเมินความเสี่ยงในรอบที่ผ่านมา
– หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ซึ่งโดยส่วนมากจะใช้การวัดความพึงพอใจของประชาชนหรือผู้ใช้บริการเป็นหลัก
3.2 การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรภาครัฐด้านมาตรฐานจริยธรรมภาครัฐและการแก้ไขปัญหาจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์
– หลายหน่วยงานมีการทดสอบความรู้ผ่านการสอบแบบ Pre-test และ Post-test เพื่อวัดผลหลังจากมีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ ซึ่งเกณฑ์การวัดผลจะขึ้นอยู่แล้วแต่หน่วยงาน
– หลายหน่วยงานมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างองค์ความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ เช่น การจัดทำคู่มือ e-learning การจัดทำ Infographic การใช้ LINE Application ส่งข้อมูลต่าง ๆ การเสริมสร้างความรู้ในรูปแบบเกม เช่น Kahoot เป็นต้น โดยในกรณีของกรมศุลกากรมีประเด็นน่าสนใจ คือ มี Chatbot ให้ความรู้เรื่องจริยธรรมในหน่วยงาน (Chatbot น้องแสนดี)
3.3 การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการสอดส่องการทำงานของบุคลากรภาครัฐ
– ปัจจุบันประชาชนเลือกที่จะร้องเรียนผ่านช่องทางสังคมออนไลน์มากกว่าการดำเนินการตามกระบวนการของทางราชการ เนื่องจากได้รับความสนใจและการตอบสนองอย่างทันท่วงที และไม่ต้องเกรงกลัวเรื่องความปลอดภัยของผู้แจ้งเบาะแส
– ควรพัฒนาระบบรับเรื่องร้องเรียนไว้เป็นระบบช่องทางเดียว แต่สามารถเปิดเผยข้อมูลทั่วถึงกันในระบบของภาครัฐเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการตรวจสอบ และต้องสร้างมาตรการที่แยกเป็นเอกเทศต่อกันระหว่างผู้สอดส่องการทำงานภาครัฐ (ผู้แจ้งเบาะแส) และพยาน รวมถึงการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการต่อเรื่องดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ยังคงมีกิจกรรมเสวนาและอบรมให้ความรู้ (Capacity Building) โดยวิทยากรจากภาครัฐ องค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสื่อสาธารณะ ตลอดทั้งสัปดาห์ (30 ส.ค. – 3 ก.ย. 64)