เมื่อวันนี้ (17 สิงหาคม 2564) ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี (นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์) ประชุมหารือร่วมกับนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธาน อ.ก.พ.ร.เกี่ยวกับการส่งเสริมการบริหารภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วม และรองเลขาธิการ ก.พ.ร. (นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข) พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ.ร. ผ่านการประชุมระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัด เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานอุตสาหกรรม สำนักงานประชาสัมพันธ์ สำนักงานเกษตร ฯลฯ รวมทั้ง ผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP ประเทศไทย) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และบริษัทมิตรผล จำกัด เข้าร่วมประชุมด้วย
ผลจากการประชุม สรุปได้ดังนี้
1. รับทราบความก้าวหน้าในการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ซึ่งปัจจุบัน สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) กำลังดำเนินการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์มกลางในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)
2. พิจารณาเห็นชอบสรุปผลการขับเคลื่อนการสร้างระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) และข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนฯ ในระยะต่อไป ดังนี้
2.1 ผลักดันการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ยังไม่ได้ดำเนินการ เช่น ใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไข ทดลองนำร่องใช้แอปพลิเคชัน “Burn Check” อบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ในการนำข้อมูลจากดาวเทียมไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหา ส่งเสริม กระตุ้นให้บุคลากรทุกระดับในสถานศึกษาตระหนักถึงปัญหา PM 2.5
2.2 ผลักดันแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ระบุไว้ในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การสร้างระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ของจังหวัดสิงห์บุรี เช่น การให้โรงงานดำเนินการตรวจวิเคราะห์คุณภาพอากาศฯ การกำหนดค่ามาตรฐาน PM 2.5 จากโรงงาน การเพิ่มจำนวนรถตัดอ้อยเพื่อรองรับพื้นที่ปลูกอ้อย การประชาสัมพันธ์เรื่องการประกันราคารับซื้ออ้อยสดและการรับซื้อใบอ้อย การให้ความรู้เรื่องกฎหมายจากการเผาอ้อย เป็นต้น
2.3 เผยแพร่แพลตฟอร์มกลางในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) โดยให้มีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบอย่างสม่ำเสมอและเป็นอัตโนมัติ เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน และเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของภาครัฐในการแก้ไขปัญหา รวมทั้ง ให้มีการพัฒนาปรับปรุงแพลตฟอร์มกลางให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อขยายผลแพลตฟอร์มไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
2.4 บูรณาการองค์ความรู้จากงานวิจัยต่าง ๆ มาช่วยในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ผลงานด้านการจำแนกและติดตามฝุ่น ผลงานด้านการลดฝุ่นที่จุดกำเนิดผลงานด้านการป้องกัน/กำจัดฝุ่น ฯลฯ
2.5 นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปทดลองใช้ในการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM 2.5) ของจังหวัดสิงห์บุรี เช่น นำ Low cost sensor เข้าไปช่วยในการเก็บข้อมูลค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่
ผลจากการประชุมมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้
1. การจัดเก็บฐานข้อมูลควรเป็นระบบมาตรฐานเดียวกัน เพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลของจังหวัด ในกรณีที่บางหน่วยงานมีรูปแบบการเก็บข้อมูลที่แตกต่างจากมาตรฐาน ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บข้อมูลให้เป็นดิจิทัลทั้งหมด โดยเลือกชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้ ซึ่งรูปแบบข้อมูลที่จะนำไปใช้ได้ประโยชน์ ประกอบด้วย 2 มิติ ได้แก่ 1) มิติเชิงระงับยับยั้ง คือ การ เชื่อมโยงข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาดับไฟ หรือจับกุมผู้กระทำความผิด 2) มิติเชิงป้องกัน คือ การจัดการลดการเผา การจัดการกับเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อทำให้สามารถควบคุมพื้นที่เผาไหม้ได้ชัดเจน
2. เรื่องข้อกฎหมายที่ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐาน PM 2.5 แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายกำหนด แต่หน่วยงานสามารถสร้างมาตรฐานในการกำกับโรงงานต่าง ๆ ได้ในโรงงานทุกขนาด เช่น กำหนดให้มีการติดตั้ง Sensor ตรวจวัดคุณภาพอากาศรอบบริเวณโรงงาน หรือปลายปล่องในทุกโรงงาน เพื่อรายงานผลคุณภาพอากาศไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรมโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลค่าฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่แพลตฟอร์มกลางในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ด้วย
3. การสนับสนุนองค์ความรู้ในสถานศึกษา แม้ว่าปัจจุบันสถานศึกษาจะปิด แต่หน่วยงานสามารถส่งเสริมองค์ความรู้ในเรื่องฝุ่นละออง PM2.5 ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และผ่านการเรียนการสอนระบบออนไลน์ได้ เพื่อสร้างความตระหนักให้แก่นักเรียน
4. สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สามารถสนับสนุนข้อมูลและเครื่องมือที่จะใช้ในการตรวจสอบและติดตามแปลงอ้อยและข้าวที่มีการเผาได้ ผ่านข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) และพื้นที่เผาไหม้ซ้ำซาก
5. บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด พร้อมสนับสนุนข้อมูลเรื่องแปลงไร่ของเกษตรกรที่มีขนาดแปลงน้อยกว่า 8 ไร่ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 2,089 แปลง เป็นแปลงที่มีความเสี่ยงที่จะมีการเผาไร่อ้อย เนื่องจากรถตัดอ้อยไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เข้าไปวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา เพื่อร่วมวิเคราะห์หาแนวทางการแก้ไขร่วมกับประชาชน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการสนับสนุนเครื่องสางใบอ้อย สำหรับใช้ในพื้นที่ที่มีขนาดแปลงอ้อยน้อยกว่า 8 ไร่ และรับซื้อใบอ้อย รวมทั้ง มีการประกันราคาอ้อยสด เพื่อลดการเผาอ้อยและหันมาตัดอ้อยสด