เมื่อวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 เวลา 13.30 น. อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาระบบการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ได้ประชุมครั้งที่ 5/2564 ผ่านระบบการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายไมตรี อินทุสุต เป็นประธาน
สรุปประเด็นการประชุม ดังนี้
1. การแก้ไขข้อจำกัดในการบริหารงานจังหวัดให้มีการทำงานที่มีผลสัมฤทธิ์สูง เรื่อง การโอนสินทรัพย์ที่เกิดจากงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
– เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการบริหารสินทรัพย์ที่เกิดจากงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้เกิดความคล่องตัว โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับความเห็นของ อ.ก.พ.รฯ ไปดำเนินการปรับปรุง เช่น การบริหารเชิงนโยบาย ควรมีหลักประกันจากสำนักงบประมาณเพื่อจัดสรรค่าบำรุงรักษาสินทรัพย์ (commitment) ร่วมด้วย
และมอบหมายกระทรวงมหาดไทยสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการสะสางสินทรัพย์คงค้างสะสมของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้คณะทำงานฯ พิจารณาปรับปรุงแนวทางการบริหารสินทรัพย์ฯ ให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์มากขึ้น แล้วนำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประเด็นที่เป็นข้อกฎหมาย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และจัดทำข้อเสนอให้ อ.ก.พ.ร.ฯ พิจารณา
2. เรื่องการทบทวนแนวทางการจัดส่วนราชการในภูมิภาค ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560
– เห็นชอบกับแผนการดำเนินงานในการรับฟังความคิดเห็นจากส่วนราชการและภาคส่วนอื่น ๆ ในพื้นที่จังหวัด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการทบทวนแนวทางการจัดส่วนราชการในภูมิภาคฯ โดยให้กำหนดผลลัพธ์เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาค และมีข้อสังเกตในการรับฟังความคิดเห็นในประเด็นความเป็นเอกภาพในพื้นที่ว่า ควรมีการกำหนดประเด็นคำถามเรื่องระบบการบริหารการตัดสินใจ ระบบงบประมาณที่จะทำให้เกิดการบูรณาการ เพื่อให้ได้คำตอบที่สะท้อนความเป็นเอกภาพในพื้นที่ นอกจากนี้ ควรตั้งประเด็นถึงภารกิจที่ต้องมีในภูมิภาคคืออะไร และภารกิจนั้นมีความจำเป็นต้องตั้งสำนักงานหรือไม่ และในการกำหนดองค์ประกอบในการจัดตั้งหน่วยงานในภูมิภาคควรปรับจากการกำหนดว่าต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง (Do) ให้เป็นต้องไม่ (Don’t) อะไรบ้าง เช่น ต้องไม่สามารถมอบภารกิจให้หน่วยงานอื่นดำเนินการได้ เป็นต้น รวมทั้งให้คำนึงถึงมิติอื่น ๆ เช่น ความก้าวหน้า (Career path) ของบุคลากรด้วย ทั้งนี้ ประธานฯ ฝากข้อสังเกตเพิ่มเติมหากกรณีมีคำขอเกี่ยวกับการขอจัดตั้งหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคซึ่งมีความหลากหลายในมิติต่าง ๆ สำนักงาน ก.พ.ร. ควรส่งคำขอดังกล่าวมาร่วมพิจารณาทั้ง อ.ก.พ.รฯ ภูมิภาคและท้องถิ่น และ อ.ก.พ.ร.ฯ โครงสร้าง ควบคู่ขนานกันไป
3. เรื่องโครงร่างการถอดบทเรียนการบริหารจัดการโรคโควิด-19 ของจังหวัด
– เห็นชอบตามองค์ประกอบที่เสนอ 4 ส่วนหลักได้แก่ 1) สถานการณ์ สภาพปัญหาสำคัญในพื้นที่ที่นำสู่การบริหารจัดการของจังหวัด 2) การบริหารจัดการและศักยภาพของพื้นที่ในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 3)ผลลัพธ์การบริหารจัดการ
และ 4) บทสรุปและข้อเสนอแนะ โดยมีข้อคิดเห็นว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 ในปัจจุบันมีความเป็นพลวัตร และความไม่ชัดเจนสูง ดังนั้น ประเด็นที่เห็นว่าควรให้ความสำคัญ เช่น 1) การทำงานร่วมกันของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะ อปท. 2) ความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างจังหวัดกับ ศบค. ในฐานะที่เป็นหน่วย Policy Guideline ที่เป็นศูนย์กลาง (มีข้อมูล หลักวิชาการ และระเบียบกฎหมาย) โดยเฉพาะประเด็นการตัดสินใจจากส่วนกลางที่ลงมาพื้นที่ 3) การแบ่งระยะเวลาในการถอดบทเรียน เป็น 3 ช่วง โดยช่วงที่ 1 ช่วงการควบคุม ป้องกัน ช่วงที่ 2 ช่วงที่มอบอำนาจการบริหารจัดการให้จังหวัดได้อย่างเต็มที่ (Full Authority) และช่วงที่ 3 ช่วงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเข้าสู่สภาวะที่เกินกำลังของจังหวัด (Over Capacity) ซึ่งจะมีวิธีการบริหารจัดการของแต่ละจังหวัดต่างกัน 4) แผนการระดมทรัพยากรบุคคล และงบประมาณของจังหวัดในการรับมือ เป็นต้น และเห็นว่า อาจเสนอทางเลือกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำเสนอรายงานเป็นคลิปซึ่งจะเห็นภาพการทำงานในการบริหารจัดการได้ชัดเจน มากกว่าการเขียนรายงาน
4. เรื่องการติดตามความก้าวหน้าดำเนินการตามประเด็นนโยบายสำคัญ (Agenda) ของ 34 จังหวัด HPP เดิม จากข้อมูลตามแบบรายงาน พบว่า
– มี 17 จังหวัดที่ยังคงดำเนินการขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญตามที่จังหวัดเสนอ ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดตาก จังหวัดนราธิวาส จังหวัดพัทลุง จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดแพร่ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดระนอง จังหวัดราชบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอ่างทอง จังหวัดอุทัยธานี และจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจะรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงาน ก.พ.ร. ภายในวันที่ 20 กันยายน 2564
– มี 14 จังหวัด ที่ประสงค์จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ประกอบด้วย จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพังงา จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดลำปาง จังหวัดสกลนคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสระบุรี และจังหวัดอุดรธานี
ส่วนอีก 3 จังหวัดที่ยังไม่ได้รายงาน คือ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดหนองบัวลำภู
5. เรื่องหารือการเพิ่มประสิทธิภาพในการเร่งรัดจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ค้างชำระ
เรื่องนี้สืบเนื่องจากมติ กกถ. ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ได้เห็นชอบให้กรมการขนส่งทางบกร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อช่วยเร่งรัดภาษีรถยนต์ค้างชำระ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (โดยสำนักงาน ก.ก.ถ.)อำนวยความสะดวกในการประสานงานและพัฒนาช่องทางในการเร่งรัดภาษีรถยนต์ค้างชำระ ซึ่งจากข้อมูลการค้างชำระภาษีรถยนต์ พ.ศ. 2562 – 2564 ของกรมการขนส่งทางบกพบว่า มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยยอด ณ วันที่ 30 มิ.ย.64 มีจำนวนถึง 9,043.13 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น จะทำให้เกิดการทำงานแบบร่วมมือกันระหว่างกรมการขนส่งทางบกกับ อบจ. ในการช่วยเร่งรัดภาษีคงค้างได้ ซึ่งในขั้นต้นได้เสนอให้มีการทดลองความร่วมมือเป็นเวลา 6 เดือน ในพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กระบี่ และสงขลา ซึ่งผลจากการหารือที่ประชุมเห็นว่า กรมการขนส่งทางบกควรให้ความสำคัญกับภารกิจการบังคับใช้กฎหมายให้มากขึ้น
โดยสำนักงาน ก.พ.ร. สามารถช่วยหนุนเสริมในเรื่องนี้ ด้วยการกำหนดเป็นตัวชี้วัดให้กระทรวงคมนาคมในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี สำหรับกรณีการดำเนินงานในพื้นที่นำร่อง หากมีความก้าวหน้าให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำมารายงานในที่ประชุมทราบด้วย