เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี (นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์) ประชุมหารือร่วมกับนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธาน อ.ก.พ.ร.เกี่ยวกับการส่งเสริมการบริหารภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วม และรองเลขาธิการ ก.พ.ร. (นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข) พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.พ.ร. ผ่านการประชุมระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ในจังหวัดสิงห์บุรี ประกอบด้วย สำนักงานสาธารสุขจังหวัด คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด สำนักงานจังหวัด สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานแรงงานจังหวัด สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด สำนักงานขนส่งจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตัวแทนชาวไร่อ้อย (ผู้แทนภาคประชาชน) บริษัทมิตรผล จำกัด (ภาคเอกชน)
นอกจากนี้ มีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP ประเทศไทย) เข้าร่วมประชุมด้วย
ผลจากการประชุมมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้
1. ปัจจุบันจังหวัดสิงห์บุรีอยู่ระหว่างการดำเนินการเรื่อง Smart city และ Smart farming ดังนั้น การนำแนวทางการสร้างระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของสำนักงาน ก.พ.ร. เข้ามาใช้ในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 จะสามารถช่วยสนับสนุนการดำเนินการของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการตรวจวัดคุณภาพอากาศและค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น ระบบ AI หรือ Chat bot เข้ามาช่วยในการสื่อสารกับประชาชน และใช้ในการแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
2. การสนับสนุนองค์ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน เช่น การให้ความรู้เรื่องการปลูกอ้อยสมัยใหม่ การเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวและอ้อยได้โดยใช้ไม่ใช้เครื่องจักร การบริหารจัดการพื้นที่ดินที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ได้ผลผลิตมากที่สุด ฯลฯ หากเกษตรกรมีองค์ความรู้ที่ถูกต้องจะไม่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยทำให้คุณภาพอากาศดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การสนับสนุนองค์ความรู้ จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยน Mind set เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสร้างแรงจูงใจให้แก่เกษตรกร เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จ
3. ปัญหาของเกษตรกร คือ ไม่มีเงิน ไม่มีเครื่องจักร ไม่มีแรงงาน ดังนั้น ภาครัฐควรมุ่งเน้นและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร เช่น การเปลี่ยนแปลงวิธีการปลูก การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตร การทำสัญญาข้อตกลงในการทำนาแบบไม่เผาในพื้นที่ การสนับสนุนการปรับแปลงอ้อยให้มีขนาดใหญ่เพื่อให้รถตัดอ้อยสามารถเข้าถึง การไม่รับซื้ออ้อยไฟไหม้ การจัดทำโควต้าและปริมาณการปลูกอ้อย การจัดลำดับการใช้รถตัดอ้อย การจัด Zoning การเพาะปลูกอ้อยและข้าว เพื่อการบริหารจัดการพื้นที่การเพาะปลูกให้มีความเหมาะสมกับปริมาณน้ำในพื้นที่และเพื่อให้รถเก็บอ้อยสามารถเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาของภาครัฐต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตของประชาชน การดำเนินการต่างๆ ของภาครัฐจะต้องมีความสมดุลระหว่างกฏหมายที่เข้มงวดกับการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน มิเช่นนั้น ประชาชนจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายของภาครัฐ
4. การจัดเก็บข้อมูลต้องมีความครอบคลุม โดยใช้ฐานข้อมูลที่เหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหา เป็นข้อมูลแบบ Real Time ที่มีความละเอียด พื้นที่ต้องมีความชัดเจน เช่น ข้อมูลระดับหมู่บ้าน โดยสามารถระบุพิกัด ถ่ายรูป บันทึกสถิติ เพื่อชี้เป้าเจ้าของพื้นที่ที่มีการเผา พื้นที่ที่มีการเผาซ้ำซาก เพื่อนำไปสู่การเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดเหตุล่วงหน้าที่เฉพาะเจาะจงไปถึงระดับบุคคลได้