โดยการประชุมดังกล่าวมีประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย
1. การปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐ ควรคำนึงถึงองค์ประกอบหลักที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การปฏิรูปโครงสร้าง การปฏิรูปรัฐ (State) โดยยึดหลักการธรรมาภิบาลเป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนการทำงานของรัฐ เและการปฏิรูปกฎ ระเบียบ โดยออกแบบกฎ ระเบียบให้เอื้อต่อการเสริมสร้างนวัตกรรมในภาครัฐ มุ่งเน้นการแข่งขันให้ก้าวทันบริบทโลกที่มีความเป็นพลวัตร
2. ภาพในอนาคตของธรรมภิบาลจะเกี่ยวข้องกับดิจิทัล และยุคข่าวสารความรู้
3. ประโยชน์ของการมาเรียนรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์จะช่วยให้รัฐบาลของอาเซียนสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการดำเนินการ และยังเป็นการช่วยให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
4. ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงาน ควรให้ความสำคัญกับกระบวนการให้ข้อมูลสะท้อนกลับ (Feedback) เพื่อจะได้ทราบผลการดำเนินงาน และสามารถนำมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
5. ระบบการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลของกรณีศึกษา เวียดนาม มีการนำระบบ IT เข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ การคัดสรร การสอบคัดเลือก ซึ่งนำมาใช้ทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น ซึ่งช่วยก่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงาน และเพิ่มคุณภาพของงานให้สูงขึ้นในขณะที่ การบริหารทรัพยากรบุคคล กรณีศึกษา ประเทศไทย (โครงการ นปร) ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุมฯ เนื่องจากเป็นแนวทางที่จะได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในระบบราชการ และเป็นการพลิกโฉมวัฒนธรรมในการทำงานของภาครัฐ
6. การบริหารงานภาครัฐในรูปแบบดิจิทัล กรณีศึกษา สาธารณรัฐเกาหลี ได้รับการขนานนามว่าเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศ ที่สามารถลดการทำงานในรูปแบบ silo ลงไปได้อย่างสิ้นเชิง รัฐบาลนำประโยชน์ของ Big Data มาใช้ในการกำหนดนโยบายการบริหารประเทศและพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของภาครัฐ
ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น การนำประโยชน์ของ Big Data เพื่อออกนโยบายจัดให้บริการขนส่งสาธารณะแก่ประชาชน, ระบบหลักประกันสุขภาพ เป็นต้น
ข้อสังเกต ความสำเร็จของรัฐบาลเกาหลีในการนำประโยชน์ของดิจิทัลมาใช้ในการจัดให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน คือ การกำหนดวิสัยทัศน์ในระยะยาวเพื่อกำหนดเป้าหมายในอนาคตที่มุ่งหวังจะให้เกิดขึ้น
7. ความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐ โดยเฉพาะกรณีศึกษา ประเทศไทย ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้เข้าร่วมประชุมฯ เพราะนับเป็น first publication in region ซึ่งอินโดนีเซียให้ความสนใจและจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาระบบ (System) ในการเสริมสร้างความซื่อตรงในภาครัฐมีประสิทธิภาพ เช่น การแบ่งบทบาทที่ชัดเจนให้หน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช versus ปปท)
กรณีศึกษา อินโดนีเซีย พบว่า รัฐบาลอินโดนีเซียมีความพยายามในการกำหนด Integrity Zone ขึ้น โดยตัวขับเคลื่อนหลักของพยายามของรัฐบาลคือ The use of Technology (เช่น งานบริการด้าน ตม. ทำให้งานบริการมีความรวดเร็ว สะดวก และโปร่งใส) และปลูกฝังวัฒนธรรมเพื่อสร้างให้เกิดการทำงานที่มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของประชาชน
8. การปฏิรูปการบริหารงานท้องถิ่น ต้องสร้างให้ท้องถิ่นมีศักยภาพที่จะบริหารตนเองได้ ดังนั้น Capacity Building เป็นสิ่งสำคัญ พร้อมกันนี้ การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการคู่ขนานกันไป
โชติมา (กองนวัตกรรมการบริหารภาครัฐ) /ข่าว&ภาพ
ภัทรพร (สลธ.) /รายงาน
กลุ่มงานเลขานุการ ก.พ.ร. และการประชาสัมพันธ์ / จัดทำ