ข่าวสาร ก.พ.ร.

การประชุมเรื่อง แนวทางการประเมิน Business Ready (B-READY)

30 พ.ค. 2566
0
สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดประชุมเรื่อง แนวทางการประเมิน Business Ready (B-READY) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ณ ห้องพิมานแมน โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ มีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จาก 30 หน่วยงานเข้าร่วมการประชุม โดยมีนางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ ก.พ.ร. และคุณ Fabrizio Zarcone ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทยกล่าวเปิดการประชุม มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการประเมิน Business Ready (B-READY) และนำเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะจากโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระยะที่ 3 ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับธนาคารโลกดำเนินโครงการศึกษาโครงการดังกล่าว สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดประชุมเรื่อง แนวทางการประเมิน Business Ready (B-READY) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ณ ห้องพิมานแมน โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ มีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จาก 30 หน่วยงานเข้าร่วมการประชุม โดยมีนางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ ก.พ.ร. และคุณ Fabrizio Zarcone ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทยกล่าวเปิดการประชุม มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการประเมิน Business Ready (B-READY) และนำเสนอผลการศึกษาและข้อเสนอแนะจากโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระยะที่ 3 ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับธนาคารโลกดำเนินโครงการศึกษาโครงการดังกล่าว สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

1. แนวทางการประเมิน Business Ready (B-READY)

  • เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ธนาคารโลกได้ประกาศชื่อแนวทางการประเมินที่จะใช้อย่างเป็นทางการ จากเดิมที่จะใช้ชื่อว่า Business Enabling Environment (BEE) เป็น Business Ready (B-READY) พร้อมทั้งเผยแพร่ตัวชี้วัดที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมิน มีประเด็น ดังนี้
  • การประเมิน B-READY แบ่งตามวงจรธุรกิจออกเป็น 10 ด้าน แต่เพิ่มด้านแรงงานและด้านการแข่งขัน
  • ทางการตลาด และยกเลิกด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย มีตัวชี้วัด 798 ตัวชี้วัด การประเมินผ่านประเด็นสำคัญ (Critical Themes) 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (Digital Adoption) 2) ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) และ 3) เพศหญิงและชาย (Gender)
  • ขอบเขตของการประเมิน B-READY จะอยู่ภายใต้ 3 เสาหลัก (Pillars) ได้แก่ 1) กรอบการกำกับดูแล (Regulatory framework) 2) การบริการสาธารณะ (Public service) และ 3) ประสิทธิภาพ (Efficiency) โดยในแต่ละเสาหลักจะต้องคำนึงทั้งความยืดหยุ่นในการประกอบธุรกิจและประโยชน์ต่อสังคม (Firm flexibility and social benefits) โดยธนาคารโลกจะปรับค่าคะแนน (rescale) ให้เป็น 0 – 100 คะแนน และทำการถ่วงน้ำหนักเสาหลักละ 0.33 ก่อนที่จะประเมินคะแนนรวม
  • การเก็บข้อมูลและการเผยแพร่รายงาน จะแบ่งการดำเนินการรอบแรกออกเป็น 3 กลุ่ม การเก็บข้อมูลมี 2 วิธี คือ 1) เก็บข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญ (Expert Consultation) ซึ่งจะเก็บข้อมูลทุกปี โดยเก็บข้อมูลทั้งบริบทในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ ของกฎระเบียบและงานบริการภาครัฐ จากภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญของภาคเอกชน และ 2) แบบสำรวจระดับองค์กร (Enterprise Survey) จะเก็บข้อมูลทุก 3 ปี โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างบริษัทเอกชน โดยกลุ่มที่ 1 เก็บข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญช่วงเดือนเมษายน – ตุลาคม 2566 (60 เขตเศรษฐกิจ) แบบสำรวจระดับองค์กรช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – ตุลาคม 2566 (60 เขตเศรษฐกิจ) และประกาศผลเดือนเมษายน 2567 กลุ่มที่ 2 เก็บข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญช่วงเดือนเมษายน – ตุลาคม 2567 (120 เขตเศรษฐกิจ) แบบสำรวจระดับองค์กรช่วงเดือนตุลาคม 2566 – ตุลาคม 2567 (60 เขตเศรษฐกิจ) และประกาศผลเดือนเมษายน 2568 และกลุ่มที่ 3 เก็บข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญช่วงเดือนเมษายน – ตุลาคม 2568 (180 เขตเศรษฐกิจ) แบบสำรวจระดับองค์กรช่วงเดือนตุลาคม 2567 – ตุลาคม 2568 (60 เขตเศรษฐกิจ) และประกาศผลเดือนเมษายน 2569 ซึ่งประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในการประเมินกลุ่มที่ 3

2. ผลการศึกษาและข้อเสนอแนะจากโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระยะที่ 3
โครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างสำนักงาน ก.พ.ร. และธนาคารโลกโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางและจัดทำข้อเสนอแนะในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการค้าระหว่างประเทศ 2) ด้านการชำระภาษี และ 3) ด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ตัวอย่างข้อค้นพบและข้อเสนอแนะจากธนาคารโลก มีดังนี้

2.1 ด้านการค้าระหว่างประเทศ

  • ระบบ National Single Window (NSW) ของประเทศไทยมีจุดเด่นหลายประการ แต่ยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในเรื่องข้อกำหนดให้มีการยื่นเอกสารเพียงครั้งเดียว (single submission)
  • การแก้ไขช่องว่างทางกฎหมาย เช่น การมีกฎหมาย Thailand National Single Window (NSW) ที่ครอบคลุมการกำกับดูแลและการดำเนินงานจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
  • การบริหารความเสี่ยงและความร่วมมือในการบริหารจัดการบริเวณพื้นที่ชายแดนเป็นประเด็น ที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของมาตรการความตกลงด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า (TFA)

2.2 ด้านการชำระภาษี

  • การควบคุมคุณภาพการตรวจสอบภาษีโดยการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เพื่อให้การตรวจสอบภาษีมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกัน
  • กรมสรรพากรมีการกำหนดเกณฑ์และคู่มือการตรวจสอบภาษี แต่ยังขาดการปรับปรุงเกณฑ์ให้สอดคล้องกับหลักการบริหารความเสี่ยงในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Compliance Risk Management: CRM) สมัยใหม่ ซึ่งเป็นมาตรฐาสากลที่จะช่วยให้การตรวจสอบภาษีมีความโปร่งใส ถูกต้องและรวดเร็วมากขึ้น
  • กรมสรรพากรควรมีการจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อพัฒนาระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Invoicing) ระบบติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมธุรกรรมแบบทันที (real-time) ตามข้อมูลเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์

  2.3 ด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

  • ผู้ยื่นมีระยะเวลาในการเตรียมเอกสารก่อนการยื่นซองข้อเสนอน้อยเกินไป ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม จึงควรเพิ่มระยะเวลาให้เหมาะสมกว่านี้
  • กรมบัญชีกลางควรพัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ เช่น การเพิ่มฟังก์ชันการสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ค้าแทนการใช้อีเมล การนำ e-Signature มาใช้
  • กรมบัญชีกลางควรมีมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs และการส่งเสริมเพศหญิงให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้แก่ผู้ประกอบการหญิง

3. การเสวนาหัวข้อ “การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจภายใต้แนวทางการประเมิน B-READY”
เป็นการเสวนาร่วมกันกับหน่วยงานที่ทางธนาคารได้เข้าไปร่วมทำงานด้วยจากโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ระยะที่ 3 ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้แทนกรมสรรพากรและกรมศุลกากรร่วมเสวนาในครั้งนี้ โดยผู้แทนทั้งสองกรมได้กล่าวขอบคุณทางธนาคารโลกที่ได้ให้ข้อค้นพบและข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนางานบริการ และปรับปรุงการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวทางการประเมิน B-READY ต่อไป

สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการปรับปรุงบรรยากาศในการประกอบธุรกิจและการลงทุนตามแนวทางการประเมิน B-READY ให้พร้อมก่อนที่ธนาคารโลกจะเข้ามาเก็บข้อมูลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุ้กกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ปุ่มตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลการใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้ ก.พ.ร. ทราบถึงการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของ ก.พ.ร. รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่น ๆ ก.พ.ร. ยังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานมากขึ้น ถึงแม้ว่า ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ ก.พ.ร. ไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของ ก.พ.ร. ทั้งนี้ หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของ ก.พ.ร. แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน

บันทึกการตั้งค่า