เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2566 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดกิจกรรมเสวนา KM Online หัวข้อ “ผนึกกำลัง หยุดยั้ง PM 2.5 จากระบบเปิดภาครัฐ สู่การปฏิบัติเชิงพื้นที่” ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Facebook Live และ YouTube Live สำนักงาน ก.พ.ร.) มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากทุกจังหวัด/ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ จังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้สนใจทั่วไป รวมกว่า 2,200 คน นำทีมโดยวิทยากรภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ การทำงานแก้ไขปัญหา PM 2.5 ดำเนินการเสวนาโดย รศ.ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล หัวหน้าศูนย์ข้อมูล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Data Center : CCDC) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) เกี่ยวกับ การส่งเสริมและพัฒนาระบบการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ประธานเปิดการเสวนา ได้กล่าวถึงบทบาทของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา PM 2.5 โดยจัดทำ Model การมีส่วนร่วมและใช้นำร่องในพื้นที่ จ.ลำปาง และ จ.สิงห์บุรี รวมทั้งเป็น Agenda/ประเด็นปลดล็อกของจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูง โดย จ.เชียงใหม่ได้ถอดบทเรียนที่สามารถใช้เป็นต้นแบบการบูรณาการทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการปรับใช้กับพื้นที่ต่าง ๆ
นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธาน อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการส่งเสริมการบริหารภาครัฐระบบ เปิดและการมีส่วนร่วม ได้นำเสนอกรอบแนวทางการเสริมสร้างระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย (Open Government and Meaningful Participation : OG & MP) 8 องค์ประกอบ โดยเน้นย้ำว่า “การมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” เป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในทุกระดับ ทั้งการให้ข้อมูล/ความเห็น ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมดำเนินงาน และร่วมติดตามประเมินผล ทั้งนี้ สาเหตุที่เลือก ปัญหา PM 2.5 เนื่องจากมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อชีวิตของประชาชน โดยนำ OG & MP ไปเสริม/ยกระดับการทำงานเชิงพื้นที่ของจังหวัด
นางกานดาศรี ลิมปาคม รอง ผอ.สนง.พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA/สทอภ.) ได้นำเสนอเทคโนโลยีสารสนเทศ นวัตกรรม และการให้บริการดาวเทียม รวมทั้ง การแปลผล/การนำไปประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหา PM 2.5 ทั้งการติดตามสถานการณ์ การประเมินแหล่งที่มา การเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูล และการใช้ App. ต่าง ๆ เช่น “Burn Check” ในการจัดระเบียบการเผาในที่โล่ง App.“เช็คฝุ่น” แสดงปริมาณฝุ่น โดยจะมีการพัฒนานวัตกรรมดาวเทียม/เครื่องตรวจวัด พร้อมทั้งมาตรการที่ใช้
ทั้งนี้ การให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
นายระพีศักดิ์ มาลัยรุ่งสกุล ผอ.สนง.สิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 2 (ลำปาง) ได้นำเสนอ สถานการณ์ความรุนแรงและมาตรการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ของ จ.ลำปาง โดยปี 2562 – 2564 มีความรุนแรง จังหวัดจึงแก้ไขโดยใช้ Single command โดยลดสาเหตุการเกิด PM 2.5 ให้มากที่สุด ลดมาตรการเชิงลบ แต่เพิ่มมาตรการเชิงบวก จุดแตกหักอยู่ที่ความร่วมมือของชุมชน มีการจัดทำพื้นที่ต้นแบบ “ดอยพระบาท” การใช้เครือข่ายป่าชุมชน (ดำเนินการร่วมกับ SCG) การบริหารจัดการเชื้อเพลิง “ชิงเก็บลดเผา” การเปลี่ยนใบไม้/วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นเงิน/เป็นรายได้ให้กับชุมชน (ดำเนินการร่วมกับ SCG และ Kubota) ทั้งนี้ ปัญหาไฟกองเล็กกองน้อยในหัวไร่ปลายนา/ในชุมชนยังต้องให้ความสำคัญ และ PM 2.5 เป็นปัญหาที่ทุกคนต้องร่วมกันป้องกันและแก้ไข
นายสมคิด ปัญญาดี ผอ.ส่วนยุทธศาสตร์ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.เชียงใหม่ ได้นำเสนอมาตรการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่จังหวัดที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการห้ามเผา (Zero Burning) และปรับเปลี่ยนไปใช้มาตรการบริหารจัดการไฟ (Fire Management) หรือ “ไฟจำเป็น” ซึ่งยอมรับความจริงที่ประชาชนยังต้องใช้ไฟ/การเผา โดยใช้ App. FireD ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้การจุดไฟ มีวงจำกัด ควบคุมได้ ซึ่งต่อมาได้มอบให้อำเภอและตำบลบริหารจัดการไฟในพื้นที่ตนเอง มีการนำเศษวัสดุเหลือใช้มาทำพลังงานชีวมวลของภาคเอกชนและศูนย์รับซื้อ นอกจากนี้ ยังใช้มาตรการทางกฎหมาย อย่างเข้มข้นทั้งในและนอกพื้นที่ป่า สำหรับปัญหาสำคัญในการทำงาน คือ ตัวชี้วัดที่ไม่สะท้อน ซึ่งควรมีการทบทวนเนื่องจากจังหวัดมีจำนวนจุดความร้อนน้อยแต่กลับมีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ปัญหาการจัดสรรงบประมาณ ปัญหาระเบียบกฎหมายในการนำเศษใบไม้กิ่งไม้ออกนอกพื้นที่ป่า สำหรับการทำงานที่โดดเด่น คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ได้เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ส่วนข้อเสนอ ควรกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเพราะใกล้ชิดประชาชน
นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานคณะกรรมการอำนวยการสภาลมหายใจเชียงใหม่ ได้ให้มุมมองว่า PM 2.5 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ต้องแก้ไขแบบล่างขึ้นบน สร้างการมีส่วนร่วมแบบ win – win โดยชุมชนและท้องถิ่นสำคัญที่สุดเพราะอยู่ติดดิน ติดน้ำ ติดป่า ต้องเป็นพลังลมหายใจเดียวกัน และต้องคำนึงว่า PM 2.5 เกิดจากการเผาไหม้ทุกประเภททั้งพื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร เกษตรเชิงเดี่ยว ชุมชน การคมนาคมขนส่ง โรงงาน รวมทั้งจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ การทำงานของสภาลมหายใจเชียงใหม่ คือ การเชื่อมพลังภาคีทุกภาคส่วน ต้องเปลี่ยนจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ต้องใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ชุมชนเป็นแกนหลัก อปท.เป็นแกนประสาน ส่วนภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ ร่วมสนับสนุน โดยเน้นยุทธศาสตร์การป้องกันมากกว่าการเผชิญเหตุ ต้องแก้ไขปัญหาตามบริบทของพื้นที่บนฐานข้อมูล/ความรู้/งานวิจัย โดยจัดทำแผนแต่เนิ่นๆ จัดทำ Sandbox และใช้กลไก
ภาคประชาสังคม ฯลฯ
สำหรับ Next step ของสำนักงาน ก.พ.ร. ยังคงเสริมการทำงานร่วมกับ จ.ลำปาง และ จ.สิงห์บุรี ส่วน จ.เชียงใหม่ ได้เริ่มดำเนินการ “พื้นที่ปฏิบัติการ” (Sandbox/Government Lab) ดอยสุเทพ-ปุย ทั้งนี้จะจัดทำข้อมูล Open data เพิ่มเติม เพิ่มการพยากรณ์ ทำ Action Research/ถอดบทเรียน บูรณาการแผน ปรับปรุงระบบบริหารจัดการไฟ และปรับปรุงตัวชี้วัด/การประเมินตรวจสอบ ต่อไป
สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ Facebook : https://fb.watch/i_oWkA3fUt/
Dowload เอกสารได้ที่ : http://opdc.link/YjhjYQ หรือ https://bit.ly/pmattached